วันที่ 24 กันยายน 2567 – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” โดยกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้อีก 120 วันนับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศในสังคมไทย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ กล่าวแสดงความยินดีว่า “การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นอีกก้าวสำคัญของสังคมไทย ที่ยอมรับและเคารพความหลากหลายทางเพศ ทำให้ทุกคนมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกันในการสร้างครอบครัว”
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน โดยระบุว่า “เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคในสังคมไทย”
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้
กฎหมายฉบับนี้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้บุคคลเพศหลากหลายสามารถหมั้นและสมรสกันได้ ซึ่งจะทำให้มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง โดยมีการแก้ไขมาตราที่สำคัญ ดังนี้:
- มาตรา 1448: การสมรสจะกระทำได้เมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ไม่จำกัดเพศ
- มาตรา 1461: คู่สมรสต้องอยู่กินด้วยกันและช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะ
- มาตรา 1470: ทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัว ถือเป็นสินสมรส
- มาตรา 1533: เมื่อหย่ากัน ให้แบ่งสินสมรสให้คู่สมรสแต่ละฝ่ายได้ส่วนเท่ากัน
เหตุผลในการประกาศใช้กฎหมาย
ในตอนท้ายของพระราชบัญญัติ ได้ระบุเหตุผลว่า สถาบันครอบครัวเป็นหน่วยสำคัญในการพัฒนาสังคม แต่การก่อตั้งครอบครัวตามกฎหมายเดิมจำกัดเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันที่มีความหลากหลายทางเพศ การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้จึงเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างบุคคลไม่ว่าจะมีเพศใด
สรุป
กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้อีก 120 วันนับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถือเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลเพศหลากหลายสามารถหมั้นและสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายและเสมอภาคทางเพศในประเทศไทย
#ข่าวทั่วไป